จากความประทับใจ ในเสียงของ poweramp ยี่ห้อUS Amp ซึ่งเป็น Amp ที่เป็น hybrid คือภาคปรี เป็น หลอดสูญญากาศ (Vacuum tube หรืออังกฤษจะเรียก Valve)
แต่น่าเสียดายที่ amp ตัวนั้นกลับมีปัญหาที่ยังแก้ไขไม่ได้เนื่องจากมีเสียงรบกวนดังออกมา เพราะน้ำเสียงตัวนั้นมีบุคลิกของหลอดชัดเจนตั้งแต่เริ่มเปิดใช้งานจนใส้หลอดร้อนเต็มที่
จนกระทั่งวันนึงมี amp หลอด hybrid อีกตัวที่เข้ามาในห้องลอง ดูแล้วหน้าตาเรียบง่ายดี เห็นแล้วคนออกแบบน่าจะเป็นนักเล่นแน่ๆ
นั่นก็คือ Ramm Mozart1 อันที่จริงก็ติดมาระยะนึงละ แต่อยากให้พ้นช่วง burn และเห่อไปก่อนค่อยมา ทำ Customer review
ไม่รอช้า.....
หลังจากเข้าไปดูๆแล้วการออกแบบ amp ตัวนี้คนออกแบบน่าจะมาจากพวกเล่นเครื่องบ้าน(ไม่ได้แบ่งพักแบ่งพวกนะ) เพราะมันดูสะอาดสะอ้าน
ไม่มีปุ่มปรับมากมายวางหัว RCA ทั้ง In และ out ห่างกันมากพอที่จะใส่สายสัญญาณที่มีหัวขนาดใหญ่ได้สบายๆ และเป็นขั้วแบบ Tiffany อีกด้วย
แล้วก็มี Gain แยกซ้ายขวาที่เป็นStep Potentiometer ส่วนจะกี่ Voltก็ช่างมันเพราะเป็นหน้าที่เฮียนพอยู่แล้ว
ด้านบนไม่มีอะไรนอกจากกระจกใสด้านบนที่แสดงหลอดสูญญากาศ 2 หลอดซึ่งเป็นหลอด CV4010( 6AK5, M8100 และอีกหลายชื่อ)จากอังกฤษ
(ผมคิดว่าน่าจะเป็นหลอดที่ Mullard ให้Valve electronic ผลิตให้ใช้ในราขการทหารของอังกฤษ ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ตียี่ห้อ)
จากกการแอบสอบถามอาจารย์นพพร(ขออนุญาตเอ่ยนาม) ทราบว่าเป็นหลอดที่ผลิตในช่วงปี1980 ของผมเห็นแว๊ปๆน่าจะ 1984 เนื่องจากไม่ได้แกะเครื่องมาดู
ก็เป็น New Old Stock(NOS) อยู่แล้ว ไม่ต้องไป Bit eBay มาให้เสียเวลาทั้งหมดมีแค่นี้เอง
จะมองว่าน้อยไปสำหรับการปรับแต่งแต่สำหรับผู้ที่ชอบแนวเดียวกับผมคือ Simply the best
พลาดไม่ได้เลยเพราะยิ่งปุ่มยื่งswitch น้อยการสูญเสียและความบริสุทธิ์ยังคงอยู่มาก
ส่วนรายละเอียดภายในไปอ่านกระทู้นี้แล้วกันครับ
http://www.qccaraudio.com/webboard/index.php?topic=5834.0 ไม่ต้องบรรยายมากเป็น Fact
หลังจากรอคอยมานาน เมื่อโอกาสเหมาะ อากาศดีเลยได้ติดตั้งลงในรถทันทีโดยแทนที่ amp ตัวเดิมส่วนตัวไหนก็ตาม diagram ไปครับ
ระบบคร่าวๆก็
front Clarion HXD2 ผ่าน Tchernov ฟ้า เข้า Ramm Mozart 1 ไปขับ Micro Precision S3 ผ่าน Passive เลย
ส่วนSub เป็น ID10 ขับโดยCelestra FA2150 ยอดฮิตของเรานั่นเอง
ผมจำเสียงวันแรกๆไม่ได้แล้วและมันจะปนเปื้อนความเห่อเข้าไปด้วยจึงไม่กล่าว ถึงละกัน เอาเป็นช่วง พ้น 50 ชม ไปแล้วละกัน
หลังจากเปิดระบบต้องรอซัก 30 - 45 วินาทีเพื่อเริ่มจุด Filament ในหลอดก่อน ก่อนจะเริ่มส่งเสียงให้ได้ยิน
ก็นับได้ว่าเสียงแรกๆช่วงนี้จะให้เสียงของ solid state มากหน่อยคือคมชัด แต่เสียงจะออกมาดีขึ้นอย่างมากหลังจาก 5 -10 นาทีโดยประมาณ
ก็ 3 เพลงผ่านไป ซึ่งนี่คือบุคลิกของหลอดประการนึง (เนื่องจากคุณสมบัติการใช้ความร้อนทำให้ electron กระโดดข้ามเพลทไปได้)
สิ่งที่ทิ้งไปจากเดิมเลยชัดเจนคือ เสียงกลางที่ตัวตนขึ้นอย่างมากชนิดที่เวลาร้องหลายเพลงๆ นี่รู้สึกได้โดยง่ายว่าเสียงเดินทางจากท้อง
แล้วผ่านออกมาให้ได้ยินเป็นเสียงร้อง จากเดิมซึ่งมีเสียงร้องที่ออกหวานๆ แต่นี่มีตัวตนของเสียงกลาง
บางทีน่าจะเรียกว่ามีเนื้อเสียงมากขึ้นทั้งที่ลำโพง Micro จะค่อนข้างโปร่งแบบ transparent
มองทะลุได้เลยมาเป็น image ที่เข้มข้นขึ้นลอยออกมาเป็นหัวนักร้องว่างั้น และด้วยความเป็น Solid state Class AB ในภาคขยาย
ทำให้เสียงร้องไม่ได้ติดหนากันเป็นปื้นแต่มีช่องไฟ ที่พอจะแยกได้ถึงเสียงร้องทั้ง 2 เสียงอย่างชัดเจน (You dont know me, Jennifer Warnes, The Well)
ว่ามีระยะห่างไม่ได้แย่งไมค์ร้องเพลงกัน รายละเอียดของเสียงแหลมนั้นเป็นเอกลักษณ์เดิมของหอยที่ถูกเติมเนื้อหนัง เข้าไปได้อีกจาก Ramm Mozart1
เสียงบรรดาเครื่องเคาะและ แฉฉาบถูกตรึงในตำแหน่งอย่างดี มีทั้งเสียงแรกที่เกิดจากการตีและหางเสียงที่ต่อเนื่อง (The Panther, Jennifer Warnes, The Well )
เวลาที่มี Dynamic เปลี่ยนแปลงอย่างเร็วๆเช่น เพลง Patriots dreamของ Jennifer Warnes, The Well
เมื่อมีความถี่ต่ำที่ตีกลองเข้ามานั้นถูกดึงไปอยู่ด้านหลัง ปี่Scott ยังคงตรึงพื้นที่ได้ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้เวทีไม่หดลง
แสดงถึงการควบคุมที่ดีจากแอมป์ ทำให้แผ่นนี้ฟังแล้วฟังอีกได้ไม่เบื่อเลย
อีก 2 จุดสำคัญที่มองว่าเมื่อพูดถึงชุดSystemนี้แล้ว ข้ามไม่ได้เลยคือ 1. Timing ซึ่งผมมองว่าเกิดจากการจูนที่ดีมากๆ (ทุกคนก็รู้อยู่อะนะ)จากเฮียนพ
และอีกส่วนนึงจาก Style เสียงของหลอด Mullard ทำให้ทุกอย่างอยู่ใน Beat ที่รู้สึกถึงความนุ่มนวล
โดยเฉพาะเมื่อเสียงของ Eric Bibb ดังขึ้นในเพลง Where the green grass grow จาก TEST CD5ค่าย Opus 3
เสียงกลองทำให้จังหวะมัน perfect มาก ความต่อเนื่องของเสียงกลางจาก track เดียวกันแต่เป็น Church Organ คลออยู่ทั้งเพลงต่อเนื่องไม่ขาดสายสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นอย่างมากกับเพลง นี้ และได้พิสูจน์อีกครั้งกับเพลงไทยอย่าง album Boyd Pod เพลง รักคุณเข้าอีกแล้ว เสียงจังหวะการร้องมันนิ่งกว่าเดิมมากๆ รู้ถึงความเนี๊ยบของ Boyd ที่ตั้งใจกะเพลงนี้ และอีกหลายเพลงๆในอัลบั้มต่างๆ
จุดที่ 2 คือเสียงกีตาร์ อันนี้เฉพาะเจาะจงได้เลย ซึ่งอาจจะเป็นเพราะผมเล่นกีตาร์ด้วยเลยชอบเป็นพิเศษ ไล่ได้ตั้งแต่เสียงของ Acoustic Guitar จาก Track The Panther, Jennifer Warnes, The Well สมจริงราวกับนั่งดูเล่นกันสดเลยๆ ความแตกต่างของการดีดกีตาร์ด้วยนิ้วกับปิ๊กแสดงออกมาให้ได้เห็นกันชัดจาก เพลงไทยของ อรอรีย์ ชื่อ ระหว่างเรา Acoustic version ลองกีตาร์มันๆอย่าง style flamingo จากtrack ที่ 2 ของBurmester 2คือ Paco De Lucia - Live In America เล่นเร็วมี Dynamic ของการดีด(strumming) การหยุดของเสียงที่เฉียบขาดแม่นยำ แต่ละเสียงไม่มั่วตีกัน พอแค่นี้ก่อนกะ Acoustic guitar
ลำดับถัดมาข้ามมา Fender ผมเลือกฟัง Steve Ray Vaughan(SRV) - Tin Pan Alley จาก Burmester2 CD เช่นเดียวกัน สำหรับคอFender บอกได้คำเดียวว่า เจ๋งมาก เสียง fender มัน Twang ได้ใจมาก เนื่อง SRV จะไม่ได้ใส่เสียงแตกเข้าไปมากแต่ใช้เสียงที่มี output แรง ได้ยินเสียงจากไม้ ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Fender ที่สะอาดชัด กังวานและครอบคลุมอนาเขตของสถานที่บันทึก เสียงกลองที่ตีอยู่ก็ถูกตรึงไว้อย่างสวยงามเสียงรัวบางช่วงเห็นหนังกลองที่ ตึงแต่สั่นตามแรงการตีอย่างดี ยิ่งช่วง 5 นาทีขึ้นไปทั้งหมด ฟังแล้วอยากได้ SRV fender เลย ส่วนสุดท้ายเพื่อความยุติธรรมเลยย้ายมา Rock บ้างผมใส่ AC/DC เข้าไป Track แรก Shoot to Thrill เสียงกีตาร์ Style Gibson อุ่นหนาและแหบออกมาได้ดีทีเดียว เออสบายใจนิดนึง Rock ก็ยังฟังได้อย่างดี น่าจะเป็นเพราะ แอมป์ไม่ได้หวานเวิ่นๆ แต่แฝงพลังไว้เต็มเปี่ยม เพราะเวลาที่มีการตีกลองเร็วอย่างเพลง Rocker และสู้ ของ หินเหล็กไฟ ของผมเป็นแผ่นทอง ไม่ได้ทำให้วงหดลงแต่ยังตรึงไว้ได้อย่างเต็ม Scale (Celestra ก็ยังคุม sub ได้ดี) สำหรับใครที่คิดว่าหลอดจะอืดช้านั้นคงจะไม่น่าใช้กับ Ramm Mozart1 ได้เพราะผมใส่ Rock ไปฟังอีกหลายแผ่นทั้งไทยและฝรั่งก็ยังน่าฟังอยู่ดี
อันที่จริงยังมีอีกหลายแผ่นหลายเพลงยังไม่พูดถึง เช่น TAS 2008 ที่ประทับใจกับเสียงร้องที่หวานและมีลีลาของ Desperado track 4 และใน Track 3 Test CD5 Opus 3 บรรยากาศ ที่เกิดจากรายละเอียดของเสียงมากมาย พอลอง Yim Hok Man track กลองจีนยอดนิยมจากBurmester 3 ได้รายละเอียดที่แม้เสียงกลองจะดังสนั่นหวั่นไหวแต่ความชัดเจนและตำแหน่ง แห่งหนยังดีอยู่ เสียดายที่ sub รุ่นเล็กแสดงศักยภาพไม่ดีพอ และที่สำคัญถ้าใครฟังรถพี่ไพศาลแล้วคันอื่นๆ track หูเสียแน่นอน
พอฟังไปฟังมาคิดว่า Ramm Mozart1 น่าจะมีดีกว่านี้อีกถ้าได้ลำโพงและ System ที่ดีขึ้นถ้ามีโอกาศก็อยากลอง Micro 7
ซึ่งโอกาศอย่างเดียวไม่พอต้องใช้ทรัพย์ด้วยอิอิ (มีผู้ยืนยันแล้วว่าขับได้ และมีได้ฟังตัวเป็นๆมาแล้วแต่ไม่มาก) หรือขยับต้นทางเป็น P90 ไรแบบนี้
ข้อเสียของแอมป์ตัวนี้คือเป็นแอมป์ 2 *100watt ซึ่งไม่มี Crossover แบ่งความถี่ ซึ่งก็อย่างที่บอกถ้าเป็นแนวผม
ผมชอบเพราะยิ่งน้อยยิ่งดี Simply the Best
สรุปได้อีก(หลาย)คำว่ากับ micro s3 ที่ดูเหมือนจะขับง่ายๆไม่ยุ่งยาก ได้ Ramm Mozart1 เข้าไปมันก็แสดงความคุ้มค่าของลำโพงขึ้นมาได้ทันที
แต่ก็อย่าเพิ่งคิดว่าง่ายขนาดนั้น เพราะการ Matching อุปกรณ์ได้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น
แอมป์หลอดไม่ใช่เทพเจ้าที่ใส่เข้าไปยังไงก็ดี หรือจะฟังเพลงด้วยปากกับเงิน
แต่การติดตั้งที่ดี และสำคัญที่การจูนเสียงที่ดี และขาดไม่ได้คือประสบกรณ์การฟังทั้งสดและแผ่น
ซึ่งเป็นทุกอย่างของเครื่องเสียงรถ เป็นส่วนที่จะทำให้ระบบของเราฟังเพลงได้เพราะแค่ไหนนะครับ
