ออกแบบเพาเวอร์แอมป์ 2 เขียนโดย พงษ์เผ่า ทองธิว .
Class ของ Power amplifier
รูปแบบของ "power amplifier" นั้นมีอยู่หลากหลายรูปแบบแต่ที่เราเคยใช้งานและคุ้นเคยนั้นมีอยู่เพียงไม่กี่แบบเท่านั้นในระบบเสียงและโดยทั่วไปแล้ว pออกแบบมาให้ ใช้เป็นตัวส่งผ่านสัญญาณเสียงในลักษณะของการขยายกำลังเพื่อให้ได้ กำลังหรือขนาดของสัญญาณที่ใหญ่ขึ้น (output stage) ซึ่งผลของกำลังที่ได้ออกมานั้นขึ้นอยู่กับรูปแบบของการจัดการวงจรขยายหรือเรียกง่ายๆได้ว่า classes ของ Amplifier นั่นเองครับ
การจัดรูปแบบของวงจรขยาย
การจัดวงจรของ Power amplifier (output stages) สามารถแบ่งออกได้เป็นรูปแบบแยกย่อยได้ดังนี้ (classified) ได้แก่ Class A, ClassB, Class AB และ ClassC สำหรับการจัดวงจรขยายในแบบ อนาล็อค หรือการทำงานในแบบ Linear และ class D และ E สำหรับการ จัดวงจรในแบบ switching amplifier ลักษณะการทำงานแบบนี้ไม่ใช่การทำงานในแบบ ดิจิตอล อย่างที่เข้าใจกัน แต่ก็ยังเรียกกันว่าแอมป์ดิจิตอล ตามแบบที่ฝรั่งเขาเรียกกัน เพียงแต่รูปแบบของสัญญาณจะเป็นรูปแบบการทำงานแบบ On และ Off ที่ให้ผลทางเอาท์พุทออกมาไม่เป็น Sine เต็มรูปแบบ คือ มีขอบเหลี่ยมด้านบน มากกว่า เพาเวอร์ แอมป์ในคลาสทั่ว ๆไปทำให้เกิดเป็นรูปทรงที่คล้ายสัญญาณดิจิตอล ซึ่งลักษณะการทำงานก็คล้ายคลึงกับการทำงานของเพาเวอร์แอมป์ PUSH-PULLทั่ว ๆไป ซึ่งเป็นสัญญาณรูปทรงโค้งแบบปรกติ แต่มักจะใช้กันในวงจรสวิทช์ชิ่งเสียมากกว่าในสมัยนั้น เพราะคุณภาพและเทคนิคที่จะทำให้ขอบสีเหลี่ยมมีความโค้งมลนั้นยังไม่สามารถทำได้อย่างเต็มรูปแบบ การส่งผ่านสัญญาณผ่านทางภาคขยายเอาท์พุทของวงจร โดยสัญญาณที่เข้ามาทางอินพุทของวงจรขยายจะออกไปทางเอาท์พุทของวงจรในภาคขยายสุดท้ายซึ่ง จะต้องมีสัญญาณออกมาให้ครบ 360° ( sinusoidal signal) ซึ่งสัญญาณที่ได้ออกมานั้นจะขึ้นอยู่กับประสิทธิผลของวงจรขยาย(power efficiency). ที่ได้เลือกเอามาใช้งาน ซึ่งในส่วนนี้นั่นเองที่เราจะมาแนะนำให้เข้าใจถึงรูปแบบการใช้งานและรายละเอียดของการจัดรูปแบบสำหรับวงจรขยายว่ามีความเป็นมาอย่างไรและเราสามารถเลือกใช้รูปแบบใดของวงจรขยายเพื่อให้ได้ประสิทธิผลสูงสุดในการ ขยายสัญญาณเสียงได้อย่างไร